+Temple of Artemis

 

ฉันและเพื่อนๆ แวะชม Temple of Artemis กันก่อน ระหว่างเดินทางไปเมืองโบราณ Ephesus ที่นี่นับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณที่ยังมีซากให้หลงเหลือให้ได้ชมกัน แม้เมื่อเห็นจะปนขำๆ หน่อยกับซากที่เหลือเนื่องจากเป็นเพียงแค่เสาต้นเดียว ทั้งบนเสายังมีรังนกรังใหญ่อยู่บนเสา แต่ก็คุ้มค่ากับการได้มาเห็นกับตาของตัวเอง แหม ! ได้มาสูดกลิ่นที่เดียวกับคนโบราณ ไม่ให้คุ้มได้ยังงัย ไม่งั้นคนโบราณเค้าคงไม่ว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ” ฉันเลยได้เอามือไปลูบๆ คลำๆ แต่เสาโบราณต้นนี้มาด้วยค่ะ นึกดูซิว่าเผื่อเสาต้นนี้เป็นต้นเดียวกับที่อเล็กซานเดอร์มหาราชหรือคนสำคัญๆ เคยแตะมาแล้ว อู๊ย! แค่คิดก็ปลื้มแล้วค่ะ

IMG_7590 Temple of Artemis จัดเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ สร้างเมื่อ 400-800 ปีก่อนคริสตกาล บนพื้นที่ลุ่มริมฝั่งแม่น้ำในเมือง Ephesus เพื่อถวายให้แก่เทพี Artemis หรือ เทพี Diana
เพื่อไม่ให้สับสนนะคะเทพี Artemisหรือ Diana ของEphesus จะเป็นคนละแบบกับ Artemis ของกรีก ซึ่งมีอีกชื่อว่า Diana เหมือนกันแต่ Greek Artemis จะเป็นเทพีแห่งการล่าสัตว์ ส่วนEphesus Artemis เป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ลักษณะของเทพีจะมีนมหลายเต้า บ้างก็ว่าเทพีสวมสร้อยคอเป็นรูปไข่หลายใบไปจนถึงเอว แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์
พื้นที่ของ Temple of Artemis มีขนาดยาว 115 เมตร กว้าง 55 เมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็น 3 เท่าของวิหารพาเธนอน (Pathenon) ในกรีก มีหลังคาขนาดใหญ่คลุมเสาซึ่งมีลักษณะแบบไอโอนิค (Ionic style) ทั้งหมด 127 ต้น แต่ละต้นสูงประมาณ 18 เมตร ในปี 356ก่อนคริสตกาล สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ถูกเผาโดย Herostratus เป็นชายหนุ่มชาว Ephesus เพื่อสร้างชื่อเสียงในตนมีชื่อในประวัติศาสตร์ สร้างความโกรธแค้นอย่างรุนแรงต่อชาวเมือง หลังการลงโทษ ได้มีกฎห้ามเอ่ยชื่อนี้ให้ได้ยินอีกต่อไป และด้วยความศรัทธาที่มีต่อเทพเจ้า Temple of Artemis ได้ถูกสร้างขึ้นอีกครั้งในเวลาอันรวดเร็ว ในขนาดเท่าเดิม แต่ยกพื้นให้สูงขึ้น เพื่อเพิ่มความโดดเด่น สง่างามกับสถานที่แห่งนี้
ระหว่างการก่อสร้าง เป็นช่วงเวลาที่อเล็กซานเดอร์มหาราช เข้ามาทีเมืองเอเฟซุส (Ephesus) และเสนอจะช่วยออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างเพื่อได้บันทึกลงไปว่าเป็นผู้ก่อสร้าง Temple of Artemis แห่งนี้ แต่ชาวเมืองไม่ต้องการให้มีการสลักชื่อของอเล็กซานเดอร์ลงไปบนตัวอาคารจึงไม่รับความปรารถนานั้น โดยให้คำตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นการเหมาะสมที่เทพเจ้าองค์หนึ่งจะสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อเทพเจ้าอีกองค์หนึ่ง”
ต่อมาประมาณ ปี 262 เมือง Epheus ถูกรุกรานโดยพวกโกธจากเยอรมัน Temple of Artemis ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมืองก็ถูกทำลายลงไปด้วย หลังจากนั้นจึงมีความพยายามในการบูรณะขึ้นใหม่ แต่เนื่องจากความเสื่อมถอยของการนับถือเทพเจ้า ประชาชนหันไปนับถือศาสนาคริสตร์มากขึ้น การบูรณะให้สมบูรณ์ในครั้งหลังจึงไม่ประสบความสำเร็จ ในขณะที่วิหารศักดิ์สิทธ์ต่างๆ ที่บูชาเทพเจ้าถูกสั่งปิด และทำลายในสมัยของกษัตริย์ธีโอโดซีอุสที่ 1 รวมทั้ง Temple of Artemis ด้วย

ชาวเมืองย้ายไปอยู่บริเวณเชิงเขาใกล้ๆเมือง Ephesus ในปัจจุบัน ซากปรักหักพัง เสาหินและสิ่งก่อสร้างต่างๆที่หลงเหลืออยู่ของ Temple of Artemis ถูกรื้อถอนเพื่อไปสร้างบ้านเรือนใหม่ จักรพรรดิจัสติเนียน ได้นำเสาหินบางส่วนเพื่อไปสร้างโบสถ์คริสตร์ Aya Sophia โบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น รูปสลักในวิหารถูกบดขยี้เพื่อไปทำเป็นปูนขาวสำหรับสร้างบ้านเรือน ส่วนรูปสลักต่างๆที่ยังคงพอหลงเหลือ ปัจจุบันถูกเก็บไว้ที่ British Museum  ตอนนั้นไปมาแล้วก็ไม่รู้เรื่องเลยจำไม่ได้ว่ามีมากมายขนาดไหน น่าเสียดายจริงๆ รอบบริเวณวิหารวันนั้นมีพ่อค้านำเหรียญและของที่ระลึกมาตามขายพวกเราบ้างแต่ไม่มาก ฉันกับเพื่อนๆ ไม่มีใครซื้อติดมือกลับมาเลยซักคนค่ะ

+Ephesus


พี่ชายเมห์เม็ดขับรถไปส่งฉันและเพื่อนๆ ตรงประตูทางทิศใต้ของเมืองโบราณ Ephesus อันเป็นจุดหมายสำคัญวันนี้ของพวกเรา ทางเข้าของเมืองโบราณนี้มี 2 ทาง ในกรณีที่มีรถไปส่งหรือนั่งแท็กซี่ไปควรมาลงตรงประตูทิศใต้นี้ เนื่องจากทางนี้ไม่มีรถบัสหรือ Dolmus วิ่งผ่าน เพราะถ้าเราเดินจากทิศใต้ย้อนขึ้นไปจนถึงทางออกทิศเหนือ แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 800 เมตร จะไปเจอป้ายรถเมล์ ถ้าข้ามถนนไปก็จะขึ้นรถบัสไปเมืองชายทะเล Kusadasi หรือถ้าขึ้นฝั่งนี้จะสามารถขึ้นรถเมล์กลับมาเมือง Selcuk ที่พักของเราโดยสะดวก แต่ถ้านั่ง Dolmus มาก็คงต้องเข้าทางประตูทิศเหนือ
พวกเราต้องการใช้เวลาละเลียดไปกับสถาปัตยกรรม สิ่งก่อสร้าง เพื่อสัมผัสความเป็นอยู่ของคนโบราณ ผ่านซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่ โดยไม่มีเวลามาจำกัดดังเช่นเมื่อวานนี้ ที่เมือง Aphodisias ดังนั้นฉันจึงให้คุณลุงที่มาส่งเรากลับไปก่อนโดยไม่ต้องมารอรับเรา บริารรับส่งพวกเราจากที่พักมาเที่ยววันนี้ เป็นบริการที่เหนือความคาดหมายจริงๆ เป็นบริการรับส่งฟรี ของที่พักส่วนใหญ่ในเมือง Selcuk ถ้าไปเที่ยวที่นั่นอย่าลืมคุยกับที่พักเค้าด้วยนะคะว่ามีบริการรับส่งนี้หรือไม่
ก่อนเข้าไปชมในเมืองโบราณควรซื้อแผนที่ท่องเที่ยวด้านหน้าจากร้านขายของที่ระลึก เพื่อเพิ่มอรรถรสในการชมเมืองโบราณ หรืออาจจะขอยืมหนังสือแนะนำการเที่ยวเมืองจากทางที่พักมาด้วยก็ได้ เป็นบริการฟรีอีกเช่นกันค่ะ นอกจากนี้พวกเรายังเช่า audio guide 1 เครื่อง โดยให้เพื่อนสาวของเราเป็นคนคอยฟังและอธิบายแต่ละจุดให้ฟังเพื่อความละเอียดมากขึ้น

Ephesus เป็นเมืองกรีกโบราณอยู่บนคาบสมุทรอนาโตเลีย เป็นเมืองที่มีความสวยงาม เป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญของเมืองทางฝั่งเอเชีย ถูกย้ายมาจากเมืองเก่าซึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆกับ Temple of Artemis มายังจุดที่เมืองใหม่นี้สร้างขึ้นเมื่อ 281ปีก่อนคริสตาล โดยลิซิมาคัส (Lysimachus) หนึ่งในขุนพลของอเล็กซานเดอร์มหาราช ที่ขึ้นมาปกครองเมืองนี้หลังการสวรรคตของอเล็กซานเดอร์ ในช่วงปี129 ก่อนคริสตกาลถูกโรมันเข้ายึดและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของชาวโรมัน มีประชาชนจากทุกสารทิศย้ายถิ่นฐานเข้ามายังเมืองนี้เนื่องจากเป็นศูนย์กลางทางการค้า และเมืองท่าสำคัญมีประชากรมากถึง 250,000 คน
ศาสนาคริสตร์เริ่มเข้ามาสู่ดินแดนแห่งนี้ตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 1 โดยพยายามเปลี่ยนความเชื่อจากการนับถือเทพเจ้าหลายองค์มานับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว แต่ช่วงต้นยังคงได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรง การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อเมือง Ephesus ถูกรุกรานโดยพวกโกธ(Goths) ในปี269 ต่อมาเกิดความเสื่อมถอยลงของการนับถือเทพเจ้า เนื่องจากการเติบโตอย่างมากของศาสนาคริสตร์ วิหารต่างๆที่นับถือเทพเจ้าถูกสั่งปิด ความเสื่อมถอยของเมืองเนืองจากการเปลี่ยนแปลงของแผ่นดินมีการทับถมของโคลนดินมากขึ้นทำให้เรือสินค้า เข้ามาเทียบท่าด้วยความยากลำบาก สมัยกษัตริย์จัสติเนียนย้ายความสำคัญของเมืองมายังเมือง Selcuk ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Basilica of St.John ต่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 614 ยิ่งทำให้เมืองแห่งนี้เสียหายอย่างหนัก
สิ่งก่อสร้างสำคัญในเมืองนี้ เต็มไปด้วยความสง่างามตามสไตล์กรีกคลาสสิค ซากปรักหักพังบางแห่งเหลือติดตามพื้นดิน เสา ประตูโค้ง รูปสลัก รูปปั้น แสดงจุดต่างๆว่าเคยเป็นน้ำตก น้ำพุ วิหาร โรงละคร สนามกีฬา ทำให้รำลึกถึงภาพความรุ่งเรือง และชีวิตอันหรูเริ่ดของคนในอดีต ฉันเดินชมเมืองโบราณ ด้วยความตั้งใจไปเยี่ยมชมส่ิงก่อสร้างสำคัญคือ ห้องสมุด Celsus ก่อนจะไปถึงจุดหมายที่ตั้งเป้าไปเยี่ยมชมฉันผ่านโรงละคร (Odeon) ซึ่งเคยใช้เป็นทั้งโรงละคร ที่เล่นดนตรี และที่ประชุมสภา วิหารเฮเดรียน (Temple of Hadrian) ,วิหารโดมิเทียน(Temple of Domitian) บางจุดเคยเป็นน้ำตก น้ำพุ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง แค่ซากที่เห็นบอกตรงๆ ฉันก็จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่าอดีตเป็นอย่างไร จนกระทั่งได้เป็นเห็นรูปภาพใน Efes Museum โอ้โห ช่างหรูหราตระการตา คนในสมัยก่อนรู้จักใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ได้อยู่กับสวนสวยๆ สถานที่งดงามดังภาพที่เห็น

เวลาเดินเที่ยวภายในเมืองขนาดใหญ่ถ้าคู่มือไม่พร้อม หรือ ไม่มีไกด์พาเที่ยว อาจพลาดสิ่งสำคัญหลายอย่างไปได้ อย่างเช่นรูปสลักไนกี้ (Nike) วางอยู่กับพื้นตรงทางเดิน ถ้าไม่สังเกตุอาจไม่เห็น พอดีตอนเดินอยู่เห็นมีไฟวางอยู่ข้างๆ แล้วก็มีกลุ่มทัวร์บางกลุ่มเค้าไปยืนชี้ๆ ดูๆ กัน ก็เลยเข้าไปดูว่าเค้าดูอะไรกัน พอเห็นอย่างนี้ฉันก็เลยตัดสินใจเดินตามกลุ่มทัวร์นั้น ทัวร์นี้ไปเรื่อยๆ ฟังออกมั่ง ไม่ออกมั่ง แต่เค้าดูอะไร ก็ไปดูด้วย กะว่ากลับมาค่อยมาหาข้อมูลกัน ทางเดินแต่ละเส้นทางในเมืองมีชื่อถนนไปตามเส้นทาง เรากำลังเดินผ่านวัด วิหาร บ้านเรือนเศรษฐี โรงอาบน้ำสาธารณะ จนมาถึงส้วมสาธารณะ แบ่งช่องไว้เป็นที่นั่งหลายช่อง สมัยก่อนใช้เวลาช่วงปลดทุกข์เป็นเวลาสังสันท์ พูดคุยสนทนาการบ้าน การเมือง โรงอาบน้ำ และส้วมสาธารณะยังแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการในเรื่องระบบน้ำดี น้ำเสีย เพราะสำหรับชาวโรมันเรื่องอาบน้ำ เข้าส้วมดูจะเป็นเรื่องสำคัญของเค้ามากๆ สำหรับเมืองโบราณเก่าแก่ถ้ามีโรงอาบน้ำจะแสดงให้เห็นว่าที่นั่นเคยเป็นส่วนหนึ่งของโรมันในอดีตมาก่อน อย่างเช่นที่เมืองบาธ ประเทศอังกฤษ ชาวโรมันก็ทิ้งร่องรอยวัฒนธรรมไว้ที่นั่นเช่นเดียวกัน

 IMG_7073 ในที่สุดฉันก็ได้มาปะหน้ากับสิ่งที่เฝ้ารอคอยคือห้องสมุดCelsus ที่จริงห้องสมุดนี้ค่อยๆ ปรากฎทีละนิดๆ ระหว่างทางเดินเข้าไปเยี่ยมชม ตั้งแต่หลังคา ระเบียงเสาชั้นสอง ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นเมื่อเห็นชั้นล่างพร้อมรูปปั้นเทพีทั้ง 4 เป็นเสน่ห์เหมือนสาวสวยที่ไม่ได้ปรากฎมาทีเดียว แต่ค่อยๆ เผยโฉมทีละนิด ทีละนิด ยิ่งเพิ่มความสวยงาม ของประตูทางเข้าห้องสมุดที่แสนคลาสสิคแห่งนี้ การเดินทางท่องเที่ยวมันมีเสน่ห์อย่างนี้นี่เอง เดี๋ยวนี้โลกแห่งการสื่อสาร ไร้พรมแดน เราสามารถเห็นเมืองในอีกซีกโลกหนึ่งผ่านทางหนังสือ เว็บไซต์ ยิ่งเจ้ากูเกิ้ล แค่เสริชนิดเดียว เห็นได้หมดทุกมิติ กระทั่งหลังคาที่เราปีนขึ้นไปดูไม่ได้ หากดูผ่านดาวเทียม เว็บไซต์ยังเห็นแจ่มชัดซะกว่า แต่ฉันก็รู้ว่ายังไงก็ไม่มีทางเหมือนของจริงที่เราจะไปสัมผัส ไปยืนอยู่ตรงสถานที่แห่งนั้น ฉันให้เวลานั่งอยู่ตรงหน้าห้องสมุดนั่งดูผู้คนกลุ่มแล้ว กลุ่มเล่าผ่านไป ฉันได้เห็นที่นี่ทั้งในยามท้องฟ้ามืดครึ้ม นั่งรอแสงอาทิตย์ส่องผ่านเมฆหนา เห็นห้องสมุดในช่วงเวลาที่ฟ้าเปิดเพียงแว่บเดียว สิ่งเหล่านี้ให้ความอิ่มในการมาเยือนสถานที่จริง ด้วยเวลาอันไม่จำกัด เพราะการเดินทางแบบวางแผนเที่ยวเอง มันช่างหนำใจสำหรับตัวเองเอามากๆ ตอกย้ำความสุขของการเดินทาง บอกกับใจตัวเองได้ว่าความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเลือกอยู่บ้าน ทำสวน อ่านหนังสือ ส่วนของฉันอยู่ที่การเดินทาง ได้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่ ได้ตื่นเต้นผจญกับเรื่องราวที่ไม่อาจคาดเดาได้

ตอนเย็นฉันและเพื่อนนั่งรถ dolmus ต่อไปเที่ยวเมืองชายทะเล Kusadasi ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองEphesus  ท่ามกลางอากาศที่ไม่เป็นใจ เพราะท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ส่งฝนลงมาต้อนรับพวกเรา แถมยังหลงป้ายรถเมล์ เดินไม่รู้ทิศรู้ทาง ความตั้งใจที่จะหาอาหารทะเลที่นี่เลยเป็นอันต้องพับไป แต่ระหว่างเดินหลบฝนผ่านบ้านเรือนผู้คน ที่หนาแน่นตามไหล่เขา ได้เห็นชีวิตผู้คนที่นั่น ร้านอาหารเล็กๆ ร้านทำผม ร้านขายของ อย่างนี้ก็เป็นอีกแบบที่เก็บเมืองนี้ไว้ในความทรงจำท่ามกลางสายฝน

 


Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.