kargil07

ชีวิตคือการเดินทางจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทริปนี้
เพราะเราเน้นการเดินทางโดยรถยนต์ เพื่อไปให้ครบทุกเส้นการเดินทางสู่หุบเขาลาดักค์
ซึ่งมี 2 เส้นทางสำคัญคือ มะนาลี-เลห์ และ ศรีนาการ์-เลห์ ขามาเราเข้ามาจากมะนาลี
เราจึงไม่ย้อนกลับเส้นทางเดิม ก็ต้องมุ่งตรงไปสู่ศรีนาการ์
และได้ของแถมเพื่อเที่ยวศรีนาการ์กันต่ออีก 2 วัน
สำหรับฉันซึ่งเคยมาเที่ยวแถบแคชเมียร์แล้วเมื่อ 3 ปีก่อน
คราวนี้จึงได้ไปบรรจบกับเส้นทางเก่าแถวๆ Sonamarg ด้วย

kargil01 เราหาเช่ารถจี๊ปได้ราคา 7500 รูปี สำหรับเวลา 2 วัน 1 คืน
แวะพักค้างคืนกันที่ Kargil

ขนาดที่ว่าคนขับรถที่ศรีนาการ์ยังว่าเราหาได้ถูกจริงๆ
แต่ก็โชคไม่ดีกับคนขับรถที่ฉันว่าสุดห่วยที่สุดที่เคยเจอมา
ไม่ดูแลรถ เพราะรถสกปรกมากๆ ไม่ล้างรถ เช็ดรถเอาซะเลย
ขับรถก็สูบบุหรี่ เอาแต่ใจ ขอให้จอดรถก็ไม่ค่อยจะยอมจอด
จะว่าได้ราคามาถูก แล้วจึงได้คนขับที่ไม่มีคุณภาพก็ไม่น่าจะใช่
เพราะเราติดต่อผ่านเจ้าของซึ่งไม่ได้ต่อรองราคากันมาก
ส่วนตัวคนขับรถก็เป็นแค่คนขับรถ ไม่ได้เป็นเจ้าของรถด้วยซ้ำ

เรามุ่งหน้าสู่เมืองศรีนาการ์ อ่านว่า สะ-รี-นา-กา นะคะ
อ่านให้ถูกไม่งั้นเรียกผิดโดนคนที่โน่นพูดแก้ทุกครั้ง
ผ่านสนามบินเลห์ ค่ายทหารประจำเมือง ทิ้งความประทับใจมากมายไว้ที่นี่
ตามปกติฉันจะชอบดูวัฒนธรรม ความอลังการของทางแขกมุสลิมมากกว่า
แต่ที่ลาดักค์นั้นประทับใจกับน้ำใจไมตรีของผู้คน รอยยิ้มของชาวบ้านและวิถีชีวิตที่พอเพียง
จึงเริ่มมีมุมมองที่ดีต่อศิลปวัฒนธรรมในรูปแบบทิเบตตามมา
ก็ดีนะที่ความเป็นทิเบตส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย
ดีกว่าจะไปอยู่ในแผ่นดินของจีน เช่นทิเบตแท้ๆ
ฉันยังไม่ได้ไปทิเบตหรอกค่ะ แต่เผอิญได้ไปเห็นรูปเมืองทิเบตรูปใหญ่รูปหนึ่งที่ร้านอาหาร
รอบๆ พระราชวังโปตาลาเต็มไปด้วยตึกสูง ระเกะระกะ
เหมือนที่เห็นในเมืองใหญ่หลายเมืองของจีน
ที่เติบโตแบบไม่มีรูปแบบเอกลักษณ์ เพียงหวังว่าจะให้คนจีนเข้าไปอยู่ และยึดเป็นของตนอย่างชอบธรรม
ครอบงำวัฒนธรรมเก่า ทำลายรากเหง้าแต่ดั้งเดิม

ศาสนาพุทธในแบบทิเบต หรือทิเบตน้อยที่นี่ยังคงเอกลักษณ์แต่ดั้งเดิมได้ดี
ท่ามกลางหุบเขาสูงชัน ใหญ่โต
เป็นเมืองปิดที่นักท่องเที่ยวทั่วไปจะเดินทางได้สะดวกเพียงแค่ 4 เดือนใน 1 ปี
ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่คงจะพยายามช่วยปกป้องดินแดนนี้ให้มีความศักดิ์สิทธิ์
ฉันหวังว่าที่นี่จะยังคงเป็นอย่างที่ควรเป็น หรืออย่างน้อยให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าที่สุด

จุดบรรจบของแม่น้ำสายสำคัญอย่างสินธุ(Indus River) และ ซูรู (Suru River)
ในเส้นทางที่เรานั่งรถผ่าน ท่ามกลางขุนเขา เหมือนความยิ่งใหญ่ที่มาพบกัน
แม่น้ำ 2 สี รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว
แล้วไหลรวมต่อกันเป็นสายเลือดให้กับชาวลาดักค์ทั้งปวง

เส้นทางสายใหม่แห่งนี้เพิ่งจะเปิดใช้ไม่น่าจะเกิน 4 ปี
ถนนหนทางราบเรียบไม่ขรุขระ เป็นหลุมบ่อ แต่การลัดเลาะตามไหล่เขา
ก็ยังชวนให้ปวดหัวสำหรับคนที่เมารถง่าย
ฉันและเพื่อนๆผ่านเส้นทางแบบนี้มาแทบจะทุกวัน
วันหลังๆนี้ก็เลยไม่มีใครออกอาการมากนัก
ทั้งความสูงของเส้นทางนี้ก็นับว่าเด็กๆ มากเมื่อเทียบกับเส้นทางที่ผ่านมา

kargil03

วัดลามะยูรู เป็นวัดทิเบตอีกวัดที่สำคัญที่คนมาเที่ยวลาดักค์ไม่พลาดจะเที่ยวชม
อยู่บนเส้นทางระหว่างไปศรีนาการ์ เราแวะมาเที่ยวเยี่ยมชมกันก่อนเดินทางต่อ
วัดนี้อยู่บนเขาบริเวณพื้นที่ที่เรียกกันว่า Moon Land
เนื่องจากพื้นผิวบริเวณนี้เคยจมอยู่ใต้ท้องทะเลเมื่อหลายล้านปีก่อน
และยังมีซากโคลนเลนที่แห้งกรังสะสมอยู่เป็นพื้นผิวที่แปลกไม่เหมือนที่ใดในโลก
แต่จินตนการไปคล้ายพื้นผิวบนดวงจันทร์ ก็เลยเรียกกันว่า Moon Land

kargil08

คนขับพาเราไปส่งด้านหลัง และให้เราเดินขึ้นเขาไปกันเอง ก็ดีค่ะได้ยืดเส้นยืดสายกันซักหน่อย
ได้ทักทายพูดคุยกับชาวบ้านแถวๆ นั้น และถ่ายรูปกับเด็กๆ ที่เห็นกล้องเป็นต้องวิ่งมาให้ถ่ายรูปให้
เราเข้าไปในวัดและเดินดูรอบๆ กันพักใหญ่แต่ฉันไม่ได้ถ่ายรูปอะไรออกมาเลย
เพราะขึ้นไปดั๊น แบตหมด

kargil02

สำหรับจุดที่สูงที่สุดของเส้นทางนี้อยู่ที่  Fotu La มีความสูง 13748 ฟุต
เราแวะทานอาหารกลางวันระหว่างทาง
ซึ่งไม่มีอะไรให้เลือกนอกจากบะหมี่ซองใส่น้ำร้อน ในร้านที่คนขับเลือกให้
ทั้งสองครั้งที่เดินทางไกลคนขับมักจะเป็นคนเลือกร้านให้เรา และมักจะเป็นเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องกัน
ก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ ที่จริงร้านไหนก็ได้ แต่ว่าร้านที่พวกเค้าเลือกให้มักไม่ค่อยมีอะไรให้เราเลือกทานมากนัก
ฉันเดินเล่นไปมาอยู่แถวๆ ร้าน ซึ่งมีแค้มป์คนงานก่อสร้างอยู่ไม่ไกล
คนงานนอนพักกันอยู่ในเต้นท์ ไม่น่าเชื่อว่าเต้นท์เล็กๆ เต้นท์เดียวมีคนอยู่กันตั้งสิบกว่าคน
เพราะระหว่างนั่งมองอยู่เห็นคนเดินออกมาเรื่อยๆ ไม่หยุดซักทีแถมไม่ซ้ำหน้ากันด้วย
ไม่เพียงพวกเรานั่งดูพวกเค้าหรอกค่ะ ระหว่างนั่งรอฉันว่าพวกเค้าก็เดินมามองพวกเราอย่างกับของแปลก
ซักพักก็เดินกันมา 2-3 คน มานั่งหน้าร้าน มองๆ แล้วก็เดินไป
อีกเดี่ยวก็เดินมาอีกนั่งดูแล้วก็เดินไป ตลกดี

เราเดินทางกันต่อดีกว่านะคะ ใกล้จะถึง  Kargil จุดหมายคืนนี้ที่เราจะพักกัน
ก่อนถึงเราแวะแถวๆ Mulbekh เมืองเล็ก ซึ่งมีวัดทิเบตและพระพุทธรูปสูง 8 เมตรริมหน้าผาให้ชมกัน
ตามประวัติพระพุทธรูปถูกสลักเมื่อประมาณปีคศ.700
อะไรไม่น่าเจ็บใจสำหรับฉันเมื่อเห็นร้านอาหารอยู่ตรงข้าม ดูดี มีอาหารให้เลือกหลากหลาย
แล้วตาคนขับดันมาบอกเราว่าไม่มีร้านอาหารอีกแล้วตอนแวะที่ร้านที่ผ่านมา
แถมยังมาเร่งพวกเราให้รีบขึ้นรถอีกต่างหาก
ยิ่งมาออกฤทธิ์ไม่พอใจกันมากขึ้น ก็ตอนหาโรงแรมในคาร์กิลนี่อีกแหละค่ะ

ถนนที่ว่าดีๆ เมื่อใกล้ถึงตัวเมือง Kargil กลับเป็นลูกรังฝุ่นตลบ
Kargil เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของลาดักค์ คนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม
และเคยผ่านสงครามระหว่างปากีสถานกับอินเดียในสงครามแย่งชิงดินแดนแคชเมียร์เมื่อปี 1999
อยู่ใกล้ชายแดนปากีสถานประมาณ 30 กม.
เพราะเหตุที่มีประสบการณ์มากมายกับสงคราม ความระแวดระวัง คนที่นี่ชอบคุยเรื่องการเมือง
แค่นั่งกันแป๊บเดียวชวนคุยเรื่องการเมือง ถามว่าประเทศไทยปกครองแบบไหน ประชาธิปไตยแบบไหน
เป็นทหารหรือเผด็จการ โชคดีที่เราไม่ได้พักที่นี่ ไม่งั้นสงสัยคุยกันยาว

พวกเราเลือกที่พักราคาไม่แพงใกล้ๆ ตลาด
สภาพห้องพักไม่ค่อยดี ห้องน้ำก็มีแมลงสาบตายคาที่อยู่ด้วย
เรานอนกันแค่คืนเดียว และต้องออกกันแต่เช้าตรู่
ก็ไม่อยากเลือกมากและเสียเงินมากเกินไป จึงเลือกพักกันที่นี่
โชคดีที่ทริปนี้เอาถุงนอนมาด้วย ช่วยได้เยอะ นอนแล้วสบายใจไม่คัน
อยู่เลห์มาตั้งหลายวัน พวกเราไม่ได้ทานโมโม่กันเลย ดั๊นจะมาหาทานกันที่นี่ เมืองมุสลิมเนี่ยนะ!
อุตสาห์เข้าร้านอาหารทิเบตแต่ก็อด มื้อนี้กินกันนิดเดียว เพราะเพลียจากการเดินทาง
และฉันเองกะไดเอ็ตเป็นของแถมในการมาเที่ยวคราวนี้ด้วย

ก่อนนอนเราได้ติดต่อที่พักที่ศรีนาการ์รอไว้ เนื่องจากเพื่อนของเราได้เบอร์ติดต่อ
มาจากร้านอินเตอร์เน็ตข้างๆซึ่งมีเพื่อนเป็นเจ้าของ Boathouse ในศรีนาการ์
ก็ดีค่ะ อย่างน้อยพรุ่งนี้เราจะรู้ว่าปลายทางที่ให้คนขับไปส่งอยู่ที่ไหน
ไม่ต้องไปเที่ยวลากกระเป๋าหากันอย่างไม่รู้ทิศทาง ราคาก็ไม่แพงคืนละ 100 รูปีเอง !!!

kargil05

นัดรถมารับตั้งแต่หกโมงเช้า ที่จริงเค้านัดต่างหาก เพราะอยากไปถึงศรีนาการ์เร็วๆ
ยามเช้าที่นี่ยังเงียบเชียบ พอพ้นคาร์กิล เข้าสู่เมือง Drass ทุ่งป่าสนสีเขียวเริ่มปรากฎให้เห็น
ภูเขาไม่แห้งแล้งอย่างที่เราชินตามาตลอดหลายวัน
เปลี่ยนบรรยากาศให้สดชื่นรืนรมย์เป็นสัญญาณว่าเราเข้าสู่แคชเมียร์กันแล้ว
จุดชมวิวอีกแห่งที่สวยงามของเส้นทางคือบนเขา Zoji La ก่อนเข้าสู่ Sonamarg ที่ฉันเคยมาเที่ยวแล้ว
แต่รอบนี้เราได้แค่นั่งรถลัดเลาะผ่านเท่านั้น ไม่ได้ขึ้นเขาไปด้านในเหมือนคราวก่อน
คนขับเองก็รีบขับ ขอแวะจอดรถเพื่อถ่ายรูปก็ไม่ยอมจอด
พวกเราได้แต่กดชัตเตอร์ถ่ายรูปกันบนรถที่วิ่งลงเขา
ก็ไม่รู้ว่าเพราะความไม่ดูแลรถ หรือขับห้อตะบึงผ่านเส้นทางที่ค่อนข้างจะขรุขระ
พอลงจากเขาผ่าน Sonamarg มาเท่านั้นหละค่ะ ยางแตกเลย

ต้องบอกว่าโชคดี๊ โชคดี ไม่ไปแตกตอนขับรถลงเขา
ยิ่งนึกยังเสียว เส้นทางก็ไม่ธรรมดาเลาะเลี้ยว เคี้ยวคด
ขืนแตกตอนลงเขาฉันคงไม่รอดชีวิตมานั่งบรรยายความรู้สึกอยู่นี่หรอกค่ะ

kargil06

พอมาถึงจุดหมายปลายทางแถวทะเลสาบดาล ประตู 1  เจ้าของ houseboat ก็มารอพวกเรา
แล้วพาไปยังที่พักของเขา ฉันล่ะดีใจที่จะได้ลาขาดจากตาคนขับคนนี้ซะที
แต่กว่าจะได้เข้าพัก ก็ต่อรองราคา ดูห้องกันอีกพักใหญ่ คนที่นี่เค้ามีวิธีการขายกันอย่างนี้ค่ะ
คุณอาเหม็ดเจ้าของที่พักมีเรือ 2 ลำ ลำใหญ่สวยงามจอดอยู่ด้านหน้า แล้วก็ลำเล็กกะติ๊ดอยู่ด้านหลัง
เค้าพาพวกเราไปดูเรือลำใหญ่ ห้องพักดี ห้องนอนดี มีห้องน้ำในตัว ถามราคาเท่าไหร่ก็ไม่บอก
แล้วก็พาไปดูเรือลำเล็กห้องโกโรโกโสกว่า ห้องน้ำรวม สภาพไม่ดีเทียบกันไม่ได้กับเรือลำใหญ่

นั่นถามราคาก็ไม่บอก

ว่าแล้วก็ชวนเราไปนั่งดื่มชา บอกว่านั่งคุยกันสบายๆ ก่อน จากนั้นค่อยบอกราคาห้องกับพวกเรา
โอ๊ย ลีลาท่ามาก จริง จริง
สรุปว่าบนเรือลำใหญ่คืนละ 1000 รูปี …อ้าวไหนว่า 100 รูปีวะ
แกก็เลยว่าลำเล็กคิดคนละ 70 รูปี ให้นอนรวมกัน 5 คนก็ 350 รูปี เห็นมั๊ย แขกไม่ได้โกหก…
บนเรือลำใหญ่ให้เรานอนรวมกัน 5 คนเลยในหนึ่งห้อง …
เหอ เอากับแกซิ

ตาอาเหม็ดคงหวังว่าเราจะเลือกเรือลำใหญ่ เพราะพูดข้อดีซะ ว่าถึงจะนอนรวมกัน
แต่เราใช้ห้องน้ำของห้องอื่นได้ถ้าว่าง ห้องรับแขก และวิวก็ดีกว่า
แต่ ยิ่งบ้ากว่าคือพวกเราขอเลือกเรือลำเล็ก เอาถูกไว้ก่อน …

คราวนี้ทั้งอาเหม็ด พ่ออาเหม็ด ก็มากล่อมว่าลำเล็กมีคนอยู่แล้วคนนึง ถ้าเราไปนอนด้วยจะไม่สะดวก
อยากให้อยู่ลำใหญ่มากกว่า หรือจะพาไปดูลำอื่นของญาติแก
แต่ฉันละไม่อยากไปดูที่อื่นแล้ว ขี้เกียจนั่งรถมาตั้งนานขอพักดีกว่า
พวกเราขนข้าวของไปสุมไว้ที่ลำเล็ก แกก็ยังพามานั่งคุยประมาณว่าอยากให้อยู่ลำใหญ่
คราวนี้ฉันเลยต่อรองกับแก ต่อไปต่อมาเลยได้ที่ราคาคืนละ 800 รูปีนอนกัน 5 คน
จากนั้นฉันก็ไปกล่อมเพื่อนๆ ให้มานอนเรือลำใหญ่ดีกว่า เพราะคิดต่อคนมันก็ไม่เท่าไหร่
แถมสะดวกกว่ากันเยอะ สรุปว่า

พวกเราเลือกเรือลำใหญ่กันแทนค่ะ เข้าล็อกตาอาเหม็ดเลย…
แต่เพราะมานั่งต่อราคากันนี่แหละฉันเลยมีปัญหากับตาอาเหม็ดนี่จนได้ ประสาทจริงๆ
เราสรุปเรื่องการเดินทางจากเลห์มาศรีนาการ์ไว้เท่านี้ดีกว่า
ส่วนต่อมาเดี๋ยวยกยอดไปไว้ในเรื่องราวของศรีนาการ์รวมทั้งหมดแล้วกัน
วันนี้เข้านอนกันเถอะค่ะ นอนในบ้านเรือแบบสุมหัว 5 คน
ไม่ได้เป็นรานี ก็เป็นหมู่องครักษ์ สาวใช้ในเรือนอนสบายๆ
ดีกว่าเป็นชาวบ้านนอนเรือเล็กกับห้องน้ำโกโรโกโส 🙂


Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.